รถซีดานขนาดกลาง Lexus ES ที่มีรุ่นแรกออกมาเมื่อปี 1989 เดินทางมาถึงเจเนเรชันที่ 8 พร้อมกับขนาดใหญ่ขึ้นทุกมิติ ดีไซน์ใหม่ไร้กระจังหน้าขนาดใหญ่ที่คุ้นเคย รวมทั้งใช้ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนทั้งในแบบไฮบริดและไฟฟ้าล้วน โดยที่มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าหรือทุกล้อของรถ
Lexus ES ใหม่ถูกระบุว่ามากับแนวคิดการออกแบบใหม่ Clean Tech Elegance ทำให้ความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของรถได้รับการกลั่นกรองมากยิ่งขึ้น พร้อมผสานฟังก์ชันและคุณค่าในระดับที่สูงขึ้น ส่งผลให้เกิดเป็นความงามที่เรียบง่ายและสะอาด โดยภายนอกของรถนำแนวทางมาจากรถคอนเซ็ปต์ LF-ZC ทำให้ด้านหน้าของรถมีเส้นสายที่เฉียบคมสร้างรูปทรง Spindle จากฝากระโปรงหน้าถึงมุมของกันชน โดยรถที่ใช้ระบบไฮบริดจะแตกต่างจากรุ่นไฟฟ้าด้วยช่องขนาดเล็กด้านบนเพื่อช่วยในการระบายความร้อน แต่รถทั้งหมดดยังมากับไฟ Twin L-Signature Lamp ดีไซน์ใหม่
ด้านข้างของรถมีแนวเส้นถูกระบุว่าที่ช่วยเสริมแอโรไดนามิก และการที่ไม่มีฝากระโปรงหลังที่ยาวช่วยเสริมให้รถมีพลังมากขึ้น ส่วนด้านหลังของรถทางผู้ผลิตอ้างว่าเน้นความงามที่เป็นเอกลักษณ์ของรถมากขึ้น รวมทั้งถูกออกแบบเพื่อให้รถมีจุดศูนย์ถ่วงต่ำเพื่อเสริมสมรถนะของรถ พร้อมมีไฟท้าย Rear L-Signature Lamp รวมทั้งโลโก้ Lexus เรืองแสง ในส่วนขนาดของรถมีความยาว 5,140 มม. กว้าง 1,920 มม. สูง 1,555 – 1,560 มม. และมีระยะฐานล้อยาว 2,950 มม. ซึ่งทำให้มีความยาวมากขึ้น 165 มม. กว้างขึ้น 55 มม. สูงขึ้น 110-115 มม. และมีระยะฐานล้อยาวขึ้น 80 มม. เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า
ห้องโดยสารของรถมีรูปแบบการจัดวางในส่วนของค็อกพิตเพื่อเน้นจุดสนใจของผู้ขับด้วยจอแสดงข้อมูลการขับขนาด 12.3 นิ้วที่มีแผงด้านบนต่ำเพื่อให้สามารถกวาดตาได้อย่างราบลื่นและรู้สึกเปิดโล่ง ขณะที่จอ Infotainment มีขนาด 14 นิ้วพร้อมรองรับ Apple CarPlay ไร้สายและ Android Auto นอกจากนี้รถยังมาพร้อมกับชุดระบบความปลอดภัยล่าสุด Lexus Safety System+ 4.0 ซึ่งจะมีรายละเอียดออกมาตอนใกล้ขาย
ระบบขับเคลื่อนของรถที่เปิดเผยออกมามี 2 รุ่นไฮบริด และ 2 รุ่นไฟฟ้า โดยรุ่นไฮบริดประกอบด้วย ES 300h และ 350h ซึ่งใช้เครื่องยนต์ 4 สูบ 2.5 ลิตรพร้อมมอเตอร์ไฟฟ้า ระบบส่งกำลัง eCVT มีให้เลือกทั้งขับเคลื่อนสองล้อหน้าหรือทุกล้อเหมือนกัน แต่รุ่นแรกมีกำลัง 201 แรงม้า อีกรุ่นมีกำลัง 247 แรงม้า
ส่วนระบบขับเคลื่อนไฟฟ้ามีรุ่น ES 350e ขับเคลื่อนล้อหน้า ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 224 แรงม้า และ ES 500e ขับเคลื่อนทุกล้อ ใช้มอเตอร์ไฟฟ้า 343 แรงม้า อย่างไรก็ตามการขายรถจะต้องรอถึงปี 2026