เปิดตัว “Lamborghini Fenomeno” สุดยอดคอลเลกชันยานยนต์ระดับโลก โดดเด่นด้วยดีไซน์สุดล้ำและขุมพลัง V12 แรงสุดในประวัติศาสตร์สายพันธุ์กระทิงดุ

ออโตโมบิลี ลัมโบร์กินี (Automobili Lamborghini) ภูมิใจเสนอ Fenomeno สุดยอดรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดเอดิชั่นซึ่งผลิตจำนวนจำกัดเพียง 29 คัน ในโอกาสการเฉลิมฉลองครั้งสำคัญของมรดกแห่งยนตรกรรมรุ่นพิเศษของแบรนด์ โชว์ความโดดเด่นทั้งสมรรถนะ นวัตกรรมทางเทคนิคที่เหนือระดับ และการออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ระดับไอคอนิกของลัมโบร์กินี เซนโทร สไตล์ (Lamborghini Centro Stile) ซึ่งเป็นผู้นำเสนอรถยนต์คันแรกที่ออกแบบโดยแผนกออกแบบของโรงงานซัง’อกาตา โบโลนเญส ในช่วงแรกของการก่อตั้งเมื่อ กว่า 20 ปีก่อน

Fenomeno คือการประกาศเจตนารมณ์แห่งงานดีไซน์ (Design Manifesto) ในแบบฉบับดั้งเดิมของลัมโบร์กินี เพื่อยกระดับองค์ประกอบด้านการออกแบบอันโดดเด่นของแบรนด์ให้ก้าวล้ำไปอีกขั้น ซึ่งนอกจากงานดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์และระบบอากาศพลศาสตร์ที่พัฒนาขึ้นโดยเฉพาะ Fenomeno ยังมาพร้อมกับเครื่องยนต์ V12 ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี ทำงานผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัวเพื่อมอบกำลังเครื่องรวมถึง 1,080 แรงม้า โดยเครื่องยนต์ V12 แบบดูดอากาศเข้าตามธรรมชาติให้กำลังเครื่องสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 835 แรงม้าและมอเตอร์ไฟฟ้าทั้ง 3 ตัวจะให้กำลังสูงสุด 245 แรงม้า ทำให้ Fenomeno คือนิยามแห่งขุมพลังที่สูงเกินขีดจำกัดซึ่งยังไม่เคยปรากฏมาก่อนผู้ขับขี่ยังจะได้สัมผัสกับโซลูชันทางเทคนิคขั้นสูงที่ติดตั้งมาในลัมโบร์กินีเป็นครั้งแรก อาทิ เซ็นเซอร์ 6D และระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก CCM-R Plus

มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ออโตโมบิลิ ลัมโบร์กินี กล่าว “การเปิดตัว Reventón ในปี 2007 มีเป้าหมายในการสร้างสรรค์ซูเปอร์สปอร์ตคาร์ระดับสุดยอดที่แท้จริง เพื่อสะท้อนถึงเอกลักษณ์ที่ลัมโบร์กินีภาคภูมิใจ และสำหรับรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดนี้ เรายังคงรักษาปรัชญาแห่งความโดดเด่นและนวัตกรรมอันเป็นรากฐานสำคัญในดีเอ็นเอของเราไว้เฉกเช่นเดิม”

Fenomeno ซึ่งกลายเป็นดาวเด่นในมหกรรม Monterey Car Week 2025 คือสิ่งที่สะท้อนถึงแนวทางการพัฒนายานยนต์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชันของลัมโบร์กินีได้อย่างชัดเจน เริ่มมาตั้งแต่รุ่น Reventón และรุ่นลิมิเต็ดต่อ ๆ มา ซึ่งประกอบด้วยรุ่น Sesto Elemento (2010), Veneno (2013), Centenario (2016), Sián (2019) และ Countach (2021) โดยชื่อรุ่น Fenomeno มาจากวัวกระทิงที่กล้าหาญและโด่งดังซึ่งเคยลงสนามสู้ในเมืองโมเรเลีย ประเทศเม็กซิโก เมื่อปี 2002 โดยเป็นการสู้วัวกระทิงระหว่างนักสู้วัวกระทิงสองคน วัวกระทิงตัวนี้ได้รับการละเว้นโทษจากคุณสมบัติอันโดดเด่นที่มันแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ ซึ่งในภาษาอิตาลีและสเปน คำว่า Fenomeno แปลว่า “ปรากฏการณ์” เป็นสัญลักษณ์ของสิ่งพิเศษที่ไม่เหมือนใครอย่างแท้จริง

“Fenomeno เป็นรถยนต์ที่เหนือชั้นทั้งในด้านสมรรถนะ สไตล์ และการนำเสนอเอกลักษณ์ที่แปลกใหม่ของลัมโบร์กินี ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองคุณค่าและความสำเร็จของแบรนด์ ตลอดจนการอุทิศตนเพื่อลูกค้าซึ่งคาดหวังประสบการณ์สุดพิเศษจากเรา หากเหนือสิ่งอื่นใด Fenomeno คือรถยนต์รุ่นพิเศษที่เหนือชั้นกว่ารุ่นใด ๆ ในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินี ที่นำเสนอนวัตกรรมโซลูชันด้านเทคนิค เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่พิเศษอย่างแท้จริง” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ กล่าวเสริม

ระบบส่งกำลังถูกติดตั้งภายในโครงสร้างตัวถังแบบ Monofuselage ซึ่งเป็นโครงแชสซีของลัมโบร์กินีที่ได้รับแรงบันดาลใจจากเครื่องบินรบอันล้ำสมัย ผลิตจากวัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมดด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีที่ซับซ้อนเช่นเดียวกับโครงสร้างแบบ Monocoque และมีโครงสร้างด้านหน้าแบบ Forged Composite® ซึ่งเป็นวัสดุพิเศษที่ผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์เส้นสั้นชุบในเรซิน โดยลัมโบร์กินีได้ผลิตและใช้งานวัสดุชนิดนี้มาตั้งแต่การเปิดตัว Reventón ในปี 2007 ซึ่งเป็นต้นแบบของรถยนต์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชันและเป็นรถยนต์รุ่นบุกเบิกสายการผลิตนี้ ด้วยโครงตัวถังสุดล้ำที่ใช้คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด

Fenomeno ยังมาพร้อมเทคโนโลยีที่มีเฉพาะในรถแข่ง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลวัตและมอบประสบการณ์การขับขี่ที่ดีที่สุดด้วยเครื่องยนต์ V12 โดยระบบเบรก CCM-R Plus พร้อมดิสก์เบรกคาร์บอนเซรามิก เพื่อการันตีประสิทธิภาพการทำงานสูงสุดทั้งบนถนนและในสนามแข่ง ส่วนล้ออัลลอยแบบ Single Nut Forged มอบความคล่องตัวที่เหนือระดับ ในขณะที่ยางรุ่นพิเศษที่ออกแบบสำหรับสนามแข่งของบริดจสโตน มอบการยึดเกาะที่ยอดเยี่ยม พร้อมเสริมความสมบูรณ์แบบด้วยระบบกันสะเทือนที่ปรับแต่งในแนวสปอร์ต ทำให้ Fenomeno มอบประสิทธิภาพการขับขี่ที่แม่นยำและเปี่ยมด้วยเสถียรภาพสูงสุดในขณะขับขี่แนวสปอร์ตอันเร้าใจ

ด้วยคุณสมบัติดังกล่าว ประกอบกับกำลังเครื่องยนต์ที่เหนือล้ำ ทำให้ Fenomeno เป็นรถยนต์ลัมโบร์กินีที่เร็วที่สุดเท่าที่เคยมีมา โดยเร่งความเร็วจาก 0-100 กม./ชม. ในเวลาเพียง 2.4 วินาที และจาก 0-200 กม./ชม. เพียง 6.7 วินาทีเท่านั้น โดยสามารถทำความเร็วสูงสุดมากกว่า 350 กม./ชม. ทั้งยังมีอัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของลัมโบร์กินีที่ 1.64 กก./แรงม้า

การออกแบบรถยนต์

Fenomeno คือ “การประกาศเจตนารมณ์แห่งงานดีไซน์ (Design Manifesto)” ฉบับใหม่ ด้วยแนวคิดที่เหนือความคาดหมายและความหรูหราขั้นสุดของซูเปอร์สปอร์ตคาร์แบบลองเทล แฝงไว้ด้วยดีเอ็นเอการออกแบบอันโดดเด่นและตราตรึงใจอย่างไม่สิ้นสุด หากยังคงสัมผัสที่สดใหม่และเร้าใจอยู่เสมอ หัวใจสำคัญของจิตวิญญาณแบบอิตาเลียนเกิดจากการใช้รูปทรงเส้นสายที่ให้ความสำคัญกับเส้นแกนกลาง รวมถึงสถาปัตยกรรมสุดล้ำของห้องโดยสาร และรูปลักษณ์อันล้ำสมัยในทุกมุมมอง โดยมีการลดทอนเส้นสาย หากยังคงความบริสุทธิ์ประณีตและพื้นผิวสมรรถนะสูงที่ดูสะอาดตา ทุกเส้นสายล้วนผสานรวมฟังก์ชันการใช้งานขั้นสูงสุด เข้ากับความบริสุทธิ์ทางสุนทรียศาสตร์ขั้นสุดยอด และนี่จุดบรรจบกันแห่งงานออกแบบและสมรรถนะรถยนต์อย่างแท้จริง

เจตนารมณ์นี้นำเสนอแนวคิดการผสานดีเอ็นเอในงานออกแบบอันโดดเด่นของลัมโบร์กินี เข้ากับเส้นสายที่เรียบง่าย แต่ยังคงความประณีตและพื้นผิวสมรรถนะสูงที่โปร่งสบายตา สะท้อนสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ระดับไอคอนิกของแบรนด์อิตาลี โดยทุกเส้นสายล้วนผสานรวมฟังก์ชันการใช้งานขั้นสูงเข้ากับสุนทรียศาสตร์ขั้นสุดยอด สร้างจุดบรรจบแห่งงานออกแบบและสมรรถนะรถยนต์

การเปิดตัว Fenomeno ยังถือเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 20 ปีของศูนย์ออกแบบลัมโบร์กินี เซนโทร สไตล์ (Lamborghini Centro Stile)  ซึ่งเปิดอย่างเป็นทางการในปี 2005 และนับแต่นั้นเป็นต้นมา ศูนย์แห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางแห่งความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบซูเปอร์สปอร์ตคาร์ของแบรนด์

มร.มิตจา โบร์เคิร์ต ผู้อำนวยการฝ่ายการออกแบบ ลัมโบร์กินี กล่าวว่า “Fenomeno นับเป็นการกำหนดเส้นทางใหม่ที่เป็นต้นฉบับที่แท้จริงในการออกแบบซึ่งมุ่งเน้นการเดินหน้าสู่อนาคตของเรา โดยเราได้สร้างสรรค์งานการออกแบบรถยนต์ที่สง่างามอย่างเหนือระดับ ประณีต และเปี่ยมด้วยเสน่ห์ เปรียบเสมือนยานอวกาศซึ่งผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด แต่ยังคงไว้ซึ่งมรดกของเราอย่างเต็มเปี่ยม ราวกับ Fenomeno กำลังบรรเลงท่วงทำนองแห่งดีเอ็นเอในงานออกแบบอันเป็นเอกลักษณ์ของเรา แต่สื่อสารด้วยโทนเสียงและจังหวะที่แตกต่าง เพื่อสร้างสรรค์อีกหนึ่งตำนานอันน่าทึ่งซึ่งอยู่เหนือความคาดหมายอันสูงล้ำ ทั้งของลูกค้าเราและเหล่านักสะสมรถยนต์”

ตัวรถด้านหน้าโดดเด่นสะดุดตาด้วยรูปทรงที่เพรียวบางและกระชับเข้ากับพื้นผิวขนาดใหญ่แนวสปอร์ต ฝากระโปรงหน้ามีช่องอากาศเข้าขนาดใหญ่สองช่องที่มีแรงบันดาลใจมาจากรถแข่งลัมโบร์กินีอย่าง Huracán GT3 ขณะที่ไฟ DRL สไตล์ซิกเนเจอร์ดั้งเดิมก็สะท้อนถึงส่วนเขาของกระทิงในโลโก้ลัมโบร์กินี โดยโลโก้ลัมโบร์กินีแบบใหม่ซึ่งได้เผยโฉมไปเมื่อปี 2024 ที่ผ่านมา ก็ได้เปิดตัวบนรถซูเปอร์สปอร์ตจากโรงงานซัง’อกาตา โบโลนเญส ในรุ่นนี้ โดยเสริมความโดดเด่นให้กับด้านหน้าของตัวรถที่ผสานองค์ประกอบต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ของลัมโบร์กินีไว้ด้วยกัน เช่น รูปทรงตัว Y ที่ประกอบเข้ากับสปลิตเตอร์ด้านหน้าที่ทำจากคาร์บอนไฟเบอร์อย่างลงตัว รวมถึงดีไซน์อันเฉียบคมของชุดไฟ

มุมมองด้านข้างสะท้อนภาพลักษณ์ของลัมโบร์กินีในแบบฉบับดั้งเดิม ผ่านเส้นสายเชิงเดี่ยวที่เน้นรูปทรงของตัวรถตั้งแต่ปลายฝากระโปรงหน้าจรดส่วนท้าย ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก “ดีไซน์ลองเทล (Long tail)” ของรุ่น Essenza SCV12 การเลือกโทนสีของชุดตกแต่งเน้นย้ำถึงความแข็งแกร่งของตัวรถส่วนบน ซึ่งตัดกันอย่างสง่างามกับเทคนิคการออกแบบด้านอากาศพลศาสตร์อย่างมีสไตล์ในส่วนล่างของตัวรถ ซึ่งติดตั้งครีบคาร์บอนไฟเบอร์ของรุ่นรถแข่งเพื่อเสริมแรงด้านอากาศพลศาสตร์ เช่นเดียวกับการออกแบบซุ้มล้อ

ระบบอากาศพลศาสตร์

Fenomeno โดดเด่นด้วยระบบอากาศพลศาสตร์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างพิถีพิถัน อันเป็นผลมาจากการวิจัยเพื่อสร้างประสิทธิภาพและสมรรถนะที่ดีที่สุดในทุกสภาพการขับขี่ โดยชิ้นส่วนที่ประกอบเข้ากับสปลิตเตอร์หน้าช่วยสร้างม่านอากาศสองชุดที่ควบคุมทิศทางการไหลของอากาศให้ขนานไปกับล้อซึ่งช่วยลดแรงต้านอากาศพร้อมเพิ่มมวลอากาศให้ไหลไปยังหม้อน้ำในเวลาเดียวกัน

ระบบ S-Duct ที่ติดตั้งไว้ด้านหน้ารถช่วยเพิ่มแรงกดตามหลักอากาศอากาศพลศาสตร์บริเวณด้านหน้า จึงมั่นใจได้ถึงพลวัตของรถที่สมบูรณ์แบบในการขับขี่แนวสปอร์ต และยังช่วยนำอากาศไหลเข้าสู่กึ่งกลางหลังคาผ่านช่องบนฝากระโปรงหน้า ด้วยรูปทรงเว้าของหลังคาทำให้การไหลเวียนของอากาศมีความหนาแน่น ทั้งเมื่อผ่านช่องดักอากาศบนฝากระโปรงเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อนของชิ้นส่วน และเมื่อผ่านปีกหลังแบบเคลื่อนไหวได้ซึ่งเป็นดีไซน์พิเศษแบบ “โอเมก้า” เพื่อเพิ่มเสถียรภาพของรถให้สูงสุดเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง

ดีไซน์ประตูแบบใหม่ก็มีบทบาทสำคัญในด้านอากาศพลศาสตร์ โดยช่วยนำอากาศไหลเข้าสู่ช่องรับอากาศขนาดใหญ่ด้านข้าง ทำให้มั่นใจได้ถึงการระบายความร้อนของชิ้นส่วนต่างๆ ในห้องเครื่องยนต์และการทำงานที่เหมาะสมของหม้อน้ำ นอกจากนี้ยังมีการดีไซน์ท่อ NACA แบบใหม่ ซึ่งมีส่วนทำให้ดีไซน์ของลัมโบร์กินีโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์มาอย่างเนิ่นนาน นับตั้งแต่ Countach รุ่นแรก ผลลัพธ์ที่ได้คือประสิทธิภาพการระบายความร้อนด้านข้างที่ดีขึ้นกว่าเดิม 30% เมื่อเปรียบเทียบกับ Lamborghini V12 รุ่นผลิตทั่วไป

เมื่อมองจากด้านหลัง จะเห็นว่า Fenomeno เป็นรถยนต์ที่ไม่มีรุ่นใดเทียบได้ในประวัติศาสตร์การออกแบบของลัมโบร์กินี ด้วยเส้นสายที่ต่อเนื่องเชื่อมโยงระหว่างปีกและซุ้มล้อ ช่วยแบ่งขอบเขตระหว่างตัวถังรถและส่วนท้ายให้เห็นอย่างชัดเจน รวมถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของไฟส่องสว่างอันล้ำสมัย การตีความตัวอักษร Y อันเป็นเอกลักษณ์ในแนวตั้ง ซึ่งเชื่อมโยงองค์ประกอบคาร์บอนไฟเบอร์ของดิฟฟิวเซอร์เข้ากับเส้นสายหกเหลี่ยมที่เด่นชัดของครอบปลายท่อไอเสีย

ดีไซน์เทอร์ไบน์ของล้อแม็กฟอร์จแบบน็อตเดี่ยว (ล้อหน้า 21 นิ้วและล้อหลัง 22 นิ้ว) ช่วยสร้างเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยติดตั้งร่วมกับยางรุ่น Bridgestone Potenza Sport ขนาด 265/30 ZRF21 และ 355/25 ZRF22

การออกแบบภายใน

ภายในห้องโดยสารสะท้อนถึงแนวคิดไฮเปอร์ดีไซน์ นำเสนอการตีความใหม่ตามปรัชญา “Feel like a pilot” ของลัมโบร์กินี เพื่อสร้างความเชื่อมโยงกับตัวรถอย่างลึกซึ้งมากขึ้นทั้งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสาร การวางตำแหน่งผู้ขับและพวงมาลัยสไตล์รถแข่งจะมอบประสบการณ์การขับขี่สุดประทับใจ พร้อมจอแสดงผลดิจิทัล 3 จอ ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์แนวมินิมอลลิสต์ได้อย่างมีสไตล์เท่านั้น แต่ยังตัดปุ่มควบคุมส่วนใหญ่ออกไป เพื่อให้ผู้ขับขี่มีสมาธิกับท้องถนนหรือสนามแข่งขันได้อย่างเต็มที่ เสมือนกำลังขับขี่รถแข่งของจริง

Fenomeno ยกระดับศักยภาพด้านการวิจัยและพัฒนาของลัมโบร์กินีในเรื่องวัสดุน้ำหนักเบาพิเศษให้ถึงขีดสุด โดยใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์เป็นวัสดุหลักในห้องโดยสาร เริ่มจากคอนโซลกลางที่ติดตั้งแผ่นรองแบบสปอร์ต ไปจนถึงแผงประตูและเบาะนั่งแบบสปอร์ตซึ่งได้รับการออกแบบมาเฉพาะรุ่น Fenomeno เท่านั้น เช่นเดียวกับช่องระบายอากาศบนแผงหน้าปัดที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์และผลิตด้วยเทคโนโลยีการพิมพ์แบบ 3 มิติ ระบบไฟส่องสว่างภายในห้องโดยสารช่วยเน้นรูปทรงที่เหมือนยานอวกาศ มอบประสบการณ์การขับขี่ที่พิเศษยิ่งขึ้น

ลูกค้ายังสามารถเลือกการปรับแต่งที่เหนือระดับเพื่อสร้างความโดดเด่นให้กับ Fenomeno ของตนเอง ด้วยโปรแกรม Lamborghini Ad Personam ซึ่งมอบตัวเลือกโทนสีที่แทบจะไร้ขีดจำกัด ทั้งสำหรับตัวถังและภายในห้องโดยสาร ซึ่งสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ด้วยตัวเลือกวัสดุหุ้มเบาะอีกมากมาย

การปรับแต่งทั้งหมดจะช่วยให้รถดูมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างแท้จริง ผ่านการเลือกโทนสีภายนอกมากกว่า 400 สี และตัวเลือกการตกแต่งภายในที่มากมายไม่รู้จบ โดยลูกค้าสามารถกำหนดทุกอย่างได้เอง พร้อมบริการระดับเอ็กซ์คลูซีฟแบบเป็นส่วนตัวที่สตูดิโอ Lamborghini Ad Personam ในซัง’อกาตา

ระบบส่งกำลัง

สถาปัตยกรรมของ Fenomeno โดดเด่นด้วยเครื่องยนต์ V12 ขนาด 6.5 ลิตร แบบดูดลมเข้าตามธรรมชาติและวางตำแหน่งกลางลำตัวรถ ผสานกับมอเตอร์ไฟฟ้า 3 ตัว โดยหนึ่งตัวถูกติดตั้งอยู่ในชุดเกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดรูปแบบใหม่ โดย Fenomeno ยังมาพร้อมกับแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนน้ำหนักเบาที่ให้กำลังจำเพาะสูง ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณกลางโครงแชสซี

เครื่องยนต์ V12 แบบ oversquare ให้กำลังขับ 835 แรงม้าที่ 9,250 รอบต่อนาที ด้วยชุดควบคุมการเปิดและปิดวาล์วที่ได้รับการออกแบบใหม่ รองรับความเร็วรอบสูงสุดที่ 9,500 รอบต่อนาที และให้กำลังจำเพาะสูงกว่า 128 แรงม้า/ลิตร ซึ่งสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของเครื่องยนต์ V12 ของลัมโบร์กินี ทั้งยังให้แรงบิดสูงสุด 725 นิวตันเมตรที่ 6,750 รอบต่อนาที โดย 80% ของแรงบิดทั้งหมดจะทำงานที่รอบเครื่อง 3,500 รอบต่อนาที

ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ส่งกำลังไปยังล้อหลัง พร้อมมอเตอร์ไฟฟ้าคู่ที่ติดตั้งบนเพลาหน้า โดยมีมอเตอร์ไฟฟ้าแบบเรเดียลฟลักซ์ตัวที่สามซึ่งติดตั้งอยู่เหนือกระปุกเกียร์คอยส่งแรงบิดไปยังล้อหลังตามโหมดการขับขี่ที่เลือก

แรงบิดรวมจากทั้งสี่ยูนิตมอบสมรรถนะที่โดดเด่นแม้ในกลุ่มรถยนต์ซูเปอร์สปอร์ต ด้วยแรงบิดถึง 725 นิวตันเมตรจากเครื่องยนต์และ 350 นิวตันเมตรจากมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าแต่ละตัว ทำให้ได้แรงบิดสูงสุดรวมสูงสุด 1,080 แรงม้า ซึ่งเกิดจากการใช้แบตเตอรี่ขนาด 7 กิโลวัตต์ชั่วโมงแบบใหม่ที่พัฒนาขึ้นสำหรับรุ่น Fenomeno โดยเฉพาะ

มอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าสองตัวแบบระบายความร้อนด้วยน้ำมันวางตามแนวแกน และมีอัตราส่วนน้ำหนักต่อกำลังอันยอดเยี่ยมที่ 110 กิโลวัตต์ต่อยูนิต ซึ่งมีน้ำหนักในแต่ละยูนิตเพียง 18.5 กิโลกรัม ซึ่งนอกจากขับเคลื่อนล้อหน้าแล้ว ยังมีฟังก์ชันควบคุมแรงบิดเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพพลวัตการขับขี่ รวมถึงฟังก์ชันการสร้างพลังงานกลับคืนจากการเบรก

เกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีด

Fenomeno ใช้เกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีดที่ติดตั้งในแนวขวางด้านหลังเครื่องยนต์ V12 ตามแนวยาว จึงเหลือพื้นที่ใต้ท้องรถสำหรับติดตั้งแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนเพื่อจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้า การวางผังเครื่องยนต์แบบนี้ยังช่วยลดน้ำหนักสุดท้ายของตัวรถและทำให้พื้นที่ฐานเครื่องเล็กกะทัดรัดยิ่งขึ้น

เกียร์คลัตช์คู่ 8 สปีด เป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการขับขี่สมรรถนะสูงสุดแนวสปอร์ต เนื่องจากใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์ที่รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบ ยิ่งไปกว่านั้น การเพิ่มเกียร์ 8 สปีดยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันและความรู้สึกสบายสูงสุดในขณะขับขี่ ส่วนฟังก์ชันลดเกียร์ต่อเนื่องซึ่งสามารถลดเกียร์ได้หลายเกียร์พร้อมกันเพียงแค่กดปุ่มเปลี่ยนเกียร์ด้านซ้ายค้างไว้ ก็นับว่ามีความโดดเด่น เพราะช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกเกียร์ที่เหมาะสมตามความเร็วได้ในขณะเบรก สร้างความรู้สึกในการควบคุมรถได้อย่างเต็มเปี่ยม

ชุดมอเตอร์ไฟฟ้าซึ่งตั้งอยู่บริเวณเหนือกระปุกเกียร์ ทำหน้าที่ควบคุมการทำงานของมอเตอร์สตาร์ทและเครื่องปั่นไฟ รวมถึงจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าด้านหน้าทั้งสองตัวผ่านแบตเตอรี่ที่อยู่ใต้ช่องว่าง ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มกำลังเครื่องเมื่อขับขี่ในโหมดไฟฟ้า 100% และช่วยให้ระบบขับเคลื่อนสี่ล้อปลอดมลพิษผ่านการขับเคลื่อนด้วยเพลาหลังโดยตรง การทำงานของระบบจะมีความแตกต่างกันไปตามโหมดการขับขี่ผ่านการใช้กลไกแบบแยกส่วน ด้วยเหตุนี้ จึงมีการติดตั้งซิงโครไนเซอร์เฉพาะทางที่สามารถเชื่อมต่อกับกระปุกเกียร์แบบคลัตช์คู่ เมื่อต้องเสริมการทำงานของเครื่องยนต์ V12 มอเตอร์ไฟฟ้าจะมาอยู่ในตำแหน่ง P3 โดยมอเตอร์ไฟฟ้าจะอยู่ด้านล่างกระปุกเกียร์ และจะเปลี่ยนไปยังตำแหน่ง P2 เพื่อชาร์จแบตเตอรี่เมื่อจอดนิ่งหรือวิ่งด้วยความเร็วต่ำ

เมื่ออยู่ในตำแหน่ง P3 รถยนต์ Fenomeno จะทำงานเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบโดยขึ้นอยู่กับโหมดการขับขี่ที่เลือก ตอกย้ำประสิทธิภาพขับเคลื่อนสี่ล้อของซูเปอร์สปอร์ตคาร์ตามแบบฉบับลัมโบร์กินี แม้ในขณะขับขี่แบบปลอดมลพิษ

ระบบเบรกและระบบกันสะเทือน

เมื่อสร้างกำลังเครื่องยนต์และสมรรถนะที่เพิ่มสูงขึ้น จึงจำเป็นต้องออกแบบระบบเบรกใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจได้ถึงความแข็งแกร่งและความทนทานในระดับที่จำเป็น โดยยังต้องรักษาเสถียรภาพในการเบรกที่ยอดเยี่ยม ซึ่ง Fenomeno ใช้ระบบเบรกคาร์บอนเซรามิก CCM-R Plus ที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ซึ่งคล้ายกับเทคโนโลยีเบรก LMDh ที่ใช้ในรถแข่ง เช่นรุ่น SC63 เพื่อนำสมรรถนะจากสนามแข่งมาสู่ท้องถนน

ดิสก์เบรกผลิตขึ้นด้วยโครงสร้าง 3 มิติ โดยผสานคาร์บอนไฟเบอร์เส้นยาวในคาร์บอนเมทริกซ์ และเคลือบสารที่พัฒนาขึ้นเป็นพิเศษเฉพาะโครงการนี้ ซึ่งไม่เพียงช่วยยืดอายุการใช้งานของดิสก์เบรกเท่านั้น แต่ยังเพิ่มค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทาน สร้างเสถียรภาพสูงสุดในการเบรก รวมถึงความทนทานและความมั่นใจ ทั้งยังทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ พร้อมความสม่ำเสมอและความมั่นคงของการตอบสนองอย่างเหนือชั้นในทุกสภาวะ ระบบนี้ได้รับการยกระดับผ่านการออกแบบที่พิถีพิถันภายใต้แนวคิดการควบคุมอุณหภูมิของรถยนต์ด้วยอากาศทั้งหมด (Entire aerothermal concept) โดยเพิ่มการไหลเวียนของอากาศไปยังดิสก์เบรกและคาลิปเปอร์ เพื่อประสิทธิภาพการระบายความร้อนที่ดีที่สุด

และเพื่อมอบพลวัตการขับขี่ที่สมบูรณ์แบบและการันตีความสนุกสูงสุดในการขับขี่ Fenomeno จึงเลือกใช้โช้กอัปสำหรับรถแข่งขันที่สามารถปรับเทียบระดับได้ด้วยตนเอง เพื่อให้ได้ระยะและการตั้งค่าที่สมบูรณ์แบบสำหรับแต่ละสนามแข่งและลักษณะการใช้งาน นอกจากนี้ ยังมอบประสิทธิภาพการหน่วงที่ดีที่สุดเพื่อช่วยควบคุมการเคลื่อนไหวของตัวรถ รวมถึงอัตราทดระหว่างล้อและโช้กอัปที่สูงขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าโช้กอัปจะทำงานได้อย่างแม่นยำที่สุด ผลลัพธ์ที่ได้ก็คือ กลไกการทำงานของระบบกันสะเทือนที่ช่วยให้โช้กอัปทำงานดีที่สุด เพื่อมอบการขับขี่แนวสปอร์ตที่ไม่ธรรมดา

พลศาสตร์รถยนต์

การบริหารพลศาสตร์รถยนต์เกิดจากการใช้ชุดชิ้นส่วนเฉพาะ โดยหัวใจสำคัญของระบบควบคุมแบบบูรณาการของ Fenomeno คือเซ็นเซอร์ 6D ที่มาพร้อมกับชุดควบคุมพลศาสตร์รถยนต์อันล้ำสมัยซึ่งเปิดตัวในรถยนต์ลัมโบร์กินีเป็นครั้งแรก เซ็นเซอร์ 6D นี้ถูกติดตั้งในตำแหน่งที่เหมาะสมใกล้กับจุดศูนย์ถ่วงของรถและเชื่อมต่อโดยตรงกับชุดควบคุม IPB (Integrated Power Brake) โดยหน้าที่ของเซ็นเซอร์คือการตรวจวัดความเร่งบนแกนทั้งสาม (แกนด้านข้าง แกนตามยาว และแกนแนวตั้ง) แบบเรียลไทม์ รวมถึงวัดความเร็วเชิงมุมของแกนทั้งสาม (แกนพิตช์ แกนหมุน และแกนหัน) ข้อมูลนี้ช่วยในการประเมินความเร็วของรถ มุมลื่นไถลด้านข้าง และค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานระหว่างยางและพื้นผิวถนน ให้มีความแม่นยำสูง

เซ็นเซอร์ 6D ยังเป็นส่วนหนึ่งของระบบ IVE (Integrated Vehicle Estimator) ซึ่งใช้ในกระบวนการคำนวณตัวกรองคาลมาน (Kalman filtering) ซึ่งเป็นอัลกอริทึมด้านมิติเชิงคาดการณ์เกี่ยวกับพลวัตของรถ ช่วยให้ระบบที่เกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถปรับการทำงานให้สอดคล้องกันในทุกสถานการณ์การขับขี่ โดยระบบเหล่านี้ยังรวมถึง IBC (Integrated Brake Controller) ซึ่งใช้ฟังก์ชันควบคุมการลื่นไถลของล้อขณะเบรกและช่วยลดระยะเบรกได้ถึง 10% การเชื่อมต่อโดยตรงกับ IVE ช่วยให้ระบบ IPB เพิ่มประสิทธิภาพการเบรกบนทางโค้ง รวมถึงในสถานการณ์ที่พบเห็นได้ทั่วไปในการขับขี่ เช่น การแซงชิดขอบถนน โดยทั้งหมดนี้มาจากการประเมินที่แม่นยำของระบบ IVE ผ่านเซ็นเซอร์ 6D นั่นเอง

ยางรถยนต์

บริดจสโตน (Bridgestone) ผู้นำระดับโลกด้านยางเกรดพรีเมียมและโซลูชันเพื่อการขับเคลื่อนที่ยั่งยืน ถือเป็นพันธมิตรด้านยางรถยนต์แต่เพียงผู้เดียวของรถยนต์ Fenomeno โดยติดตั้งยางระดับพรีเมียมรุ่น Bridgestone Potenza ที่ออกแบบโดยเฉพาะสำหรับซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นใหม่นี้

ในฐานะพันธมิตรด้านเทคนิคอย่างเป็นทางการของลัมโบร์กินี บริดจสโตนได้พัฒนายางรุ่น Potenza Sport สมรรถนะสูงพิเศษสำหรับ Fenomeno เพื่อให้มั่นใจได้ถึงสมรรถนะสูงสุดจากเครื่องยนต์ V12 ซึ่งทรงพลังที่สุดเท่าที่ลัมโบร์กินีเคยผลิตมา ยางระดับพรีเมียมรุ่นนี้มีให้เลือกทั้งขนาด 265/30 ZRF21 (ล้อหน้า) และ 355/25 ZRF22 (ล้อหลัง) มอบสมรรถนะความเร็วสูงอันยอดเยี่ยม พร้อมการตอบสนองต่อพวงมาลัยที่ฉับไว และความแม่นยำในการควบคุมระบบส่งกำลัง 1,080 แรงม้าได้อย่างดีเยี่ยม ยางรุ่นพิเศษนี้ยังมาพร้อมเทคโนโลยี Run Flat (RFT) ของบริดจสโตน โดยแม้จะเกิดเหตุยางรั่ว ก็ยังสามารถขับขี่ต่อไปได้อย่างปลอดภัยที่ความเร็ว 80 กม./ชม. เป็นระยะทางไกลถึง 80 กม. แม้ว่าแรงดันลมยางจะอยู่ที่ศูนย์ก็ตาม

Lamborghini Fenomeno จะมาพร้อมชุดแต่งดีไซน์เฉพาะสำหรับรถแข่ง เพื่อถ่ายทอดสมรรถนะจากสนามแข่งขันโดยผ่านการรับรองการใช้งานบนถนนสาธารณะ เพื่อการแสดงสมรรถนะได้อย่างเต็มที่

ยางระดับพรีเมียมรุ่นนี้ผลิตขึ้นโดยใช้เทคโนโลยี Virtual Tire Development เอกสิทธิ์ของบริดจสโตน ซึ่งช่วยลดทั้งปริมาณการใช้วัตถุดิบและการปล่อยมลพิษได้อย่างมากตลอดกระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์

“Fenomeno คือการนำเสนอซูเปอร์สปอร์ตคาร์รุ่นลิมิเต็ดอิดิชันที่ไร้คู่แข่งอีกครั้งของลัมโบร์กินี การผสมผสานระหว่างเครื่องยนต์ V12 ที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์ เข้ากับดีไซน์อันน่าทึ่ง ระบบอากาศพลศาสตร์ที่เหนือชั้น และเทคโนโลยีล้ำสมัยอย่างโครงสร้างน้ำหนักเบา ทำให้ Fenomeno กลายเป็นซูเปอร์สปอร์ตคาร์ที่พิเศษสุดของยุคนี้” มร.สเตฟาน วิงเคิลมันน์ กล่าว

Fenomeno คือการประกาศเจตนารมณ์ทางเทคโนโลยีและงานดีไซน์อย่างแท้จริง และสิ่งนี้ถือกำเนิดขึ้นที่เมืองซัง’อกาตา โบโลนเญส

Tagged:

admin24

admin24

RELATED ARTICLES