The All-New NISSAN NOTE รถคันเล็กๆ ที่ครบเครื่องทุกมุมมอง

มาทำความรู้จักกับรถอีโคคาร์สุดคุ้มที่พกพาตัวถังแบบ 5 ประตู มาตอบโจทย์การใช้งานในเมือง โดยเน้นความกว้างที่สามารถใช้งานได้จริง ควบคู่ความสะดวกสบาย สมรรถนะ ความปลอดภัย จากแนวคิดเทคโนโลยีอัจฉริยะเพื่อการขับขี่ในอนาคต Nissan Intelligent Mobility

สำหรับโมเดลที่เปิดตัวในไทยได้รับถ่ายทอด DNA มาเกือบทั้งหมด อาทิ กระจังหน้าแบบ V-Motion ที่ดูสปอร์ตมีเอกลักษณ์ เช่นเดียวกับรถยนต์ของนิสสันในปัจจุบัน เติมความหรูด้วยช่องกันชนด้านล่างแบบโครเมียม และโคมไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ ปรับสูง-ต่ำได้  พร้อม LED Signature Light มาพร้อมไฟตัดหมอกคู่หน้า สร้างความโฉบเฉี่ยว ขณะที่ด้านหลัง ไฟท้าย LED แบบ Signature รูปทรงบูมเมอแรง พร้อมไฟเบรก LED ขณะที่เส้นสายด้านช้างลงตัว มือจับประตู กระจกข้างสีเดียวกับตัวรถ สามารถพับและปรับด้วยไฟฟ้า และยังติดตั้งไฟเลี้ยวบนฝาครอบกระจกมองข้างสไตล์ปีกนก ให้ทั้งความลู่ลม ความหรูและเพิ่มความปลอดภัยแก่เพื่อนร่วมทางส่วนด้านหลังติดตั้งสปอยเลอร์ ให้ทั้งมุมมองสปอร์ตและเพิ่มประสิทธิภาพการขับขี่ นอกจากนี้การออกแบบตัวถังใหม่ยังช่วยให้ค่าสัมประสิทธิ์แรงเสียดทานที่ต่ำแค่ 0.30 ซึ่งตัดเสียงรบกวนของลมปะทะและทำให้รถมีการทรงตัวที่ดีอีกด้วย

ภายในยึดติดของเดิมที่มีความใกล้เคียงกับรุ่นพี่อย่าง Nissan Almera โดยเน้นการออกแบบโทนสีดำ ให้อารมณ์สปอร์ต ก่อนจะเติมความหรูหราผ่านวัสดุตกแต่งสีเงิน เช่น หัวเกียร์ ฐานเกียร์ คอนโซลกลางสีเปียโน แบล็ค มันวาว เรียบหรูยิ่งขึ้น เบาะหน้าด้านหน้าโอบกระชับสามารถรองรับการเดินทางไกลได้โดยไม่เมื่อยล้า และยังช่วยให้ควบคุมรถได้ดีเพราะตัวผู้ขับจะไม่ไหลไปตามแรงเหวี่ยง พวงมาลัยใหม่ทรงสปอร์ต แบบ D-Shape ปรับสูงต่ำได้ จับได้ถนัดมือมาก พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นควบคุมระบบการทำงานของเครื่องเสียงและเชื่อมต่อโทรศัพท์มือถือเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ขณะที่มาตรวัดเป็นแบบเรืองแสงมัลติ อินโฟเมชัน ดิสเพลย์ (MID) ช่วยให้อ่านข้อมูลการขับขี่ต่างๆได้ง่ายและรวดเร็ว ทำให้ไม่ต้องละสายตาจากถนนนานเกินไป

นอกจากนี้ยังเอาใจคนที่ชอบมีสัมภาระเยอะนั้นก็คือ เบาะนั่งด้านหลังที่พับได้แบบ 60/40  ช่วยเพิ่มพื้นที่บรรทุกสัมภาระได้มากขึ้น และยังมีอีกหนึ่งอุปกรณ์เสริมคือถาดปรับระดับท้าย 2 ชั้น ที่ช่วยการจัดเรียงสัมภาระได้เป็นระเบียบมากยิ่งขึ้น โดยจะปรับพื้นที่บรรทุกตอนท้ายให้เรียบและสร้างพื้นที่จัดเก็บแยกชั้นบริเวณพื้นที่เก็บของด้านหลัง เพิ่มความสะดวกสบายการขึ้นลงด้านหลังด้วยบานประตูที่เปิดได้กว้างเป็นพิเศษ 85 องศา ที่นอกจากจะเอื้อประโยชน์ให้เฉพาะผู้โดยสารขึ้นลงสะดวก แต่ว่ายังช่วยให้การขนของชิ้นใหญ่ๆขึ้นลง ทำได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

สำหรับ NISSAN NOTE นับว่าเป็นรถอีโคคาร์ที่ใหญ่ไม่น้อย น่าจะเทียบเท่ารถบีเซกเมนต์เครื่องยนต์ 1,500 ซีซีเพราะมีมิติตัวถังเริ่มด้วยขนาดยาว 4,105  ม.ม.กว้าง 1,695 ม.ม. สูง 1,535 ม.ม. และฐานล้อ 2,600 มม. ถ้าให้เปรียบเทียบกับรุ่นพี่อย่าง Nissan Almera จะมีความยาวแตกต่างกันนิดหน่อยเท่านั้นคือ 4,425 ม.ม. ส่วนอื่นนับว่าใกล้เคียงกันแทบทั้งหมด โดยความคิดเห็นส่วนตัวนับว่าเป็นรถแฮทช์แบ็คเครื่องยนต์อีโคคาร์ที่มีความกว้างมากจริงๆ

ทดลองขับพร้อมจับอาการ

ในการทดสอบครั้งนี้เราได้ใช้ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตรในการทดสอบ โดยผ่านผ่านการจราจรในเมือง ผ่านทางหลวงและแหล่งท่องเที่ยวเพื่อพิสูจน์ความคล่องตัวรวมถึงสมรรถนะเครื่องยนต์ว่าจะตอบโจทย์ได้มากน้อยขนาดไหน

ทันทีที่ออกสตาร์ทจากจุดเริ่มต้น กระบวนการทดสอบได้เริ่มขึ้นทันทีเพราะปริมาณรถที่มีความหนาแน่นบนท้องถนนจำนวนมาก ทำให้ได้สัมผัสถึงระบบระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ซึ่งสั่งให้เครื่องยนต์ดับ-สตาร์ทอัตโนมัติ เมื่อรถอยู่ในสภาพจอดสนิทขณะจราจรติดขัดหรือช่วงจอดติดไฟแดง โดยคอมเพรสเซอร์แอร์จะหยุดทำงานแต่ระบบไฟฟ้าอื่นๆ ยังทำงานปกติ และจะสตาร์ทเครื่องยนต์ใหม่เมื่อต้องการขับเคลื่อนรถต่อไป ระบบนี้ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงมากขึ้น และลดการปล่อยไอเสีย และตามมาด้วยระบบ Intelligent Forward Collision Warning (FCW) ระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า โดยใช้เซ็นเซอร์จากกล้องด้านหน้ารถจะตรวจจับบุคคลและยานยนต์บริเวณหน้ารถ แล้วส่งสัญญาณเสียงพร้อมสัญลักษณ์เตือนบนหน้าปัด ซึ่งผลปรากฏว่าทำงานได้เป็นอย่างดี มีเสียงเตือนอย่างต่อเนื่องและยิ่งใช้ในการจราจรที่หนาแน่นแล้วเสียงเตือนดังทั้งวันจนออกจะน่ารําคาญ (รถมอเตอร์ไซค์จำนวนมากแทรกระหว่างหน้ารถ) จนเราต้องปิดเสียงเพื่อให้โชว์บนหน้าปัดเท่านั้น

หลุดจากการจราจรที่คับคั่งคราวนี้ก็ถึงถนนที่ใช้ความเร็วได้เพิ่มขึ้น ขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1,198 ซีซี 3 สูบ แถวเรียง DOHC 12 วาล์ว CVTC (Continuously Variable-valve Timing Control)  ที่มาพร้อมกับหัวฉีดอิเลคทรอนิคมัลติพอยท์ (ECCS) 32 บิท ฉีดเชื้อเพลิงได้ละเอียดและแม่นยำ ให้กำลังได้สูงสุดถึง 79 แรงม้า แรงม้าที่ 6,000 รอบ/นาที ให้แรงบิดสูงสุด 106 นิวตัน-เมตร ที่ 4,400 รอบ/นาที รองรับน้ำมัน E20 ให้กำลังขับเคลื่อนได้เป็นอย่างดี  นอกจากนี้ทางค่ายผู้ผลิตยังเครมมาอีกว่าเครื่องยนต์ตัวนี้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเพราะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไม่เกิน 120 กรัม/กิโลเมตร เทียบเท่ามาตรฐานไอเสีย ยูโร 4 อีกด้วย และยังมีระบบตัดการทำงานของเครื่องยนต์อัตโนมัติ เมื่อรถหยุดนิ่ง (Idling Stop) ติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานมาให้เช่นกัน

ในขณะทำความเร็วอย่างต่อเนื่องเราลองปรับเข้าโหมด D-Step Logic ซึ่งเป็นปุ่มกดที่อยู่ด้านขวามือของหัวเกียร์ ระบบเกียร์  XTRONIC CVT D-STEP LOGIC สามารถรีดกำลังได้ดีมีรอบเครื่องยนต์ที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในทางกลับกันถ้าอยู่ในโหมดเกียร์ปกติแล้วกดคันเร่งเพื่อคิกดาวน์ รถจะมีความหน่วงสักอึดใจรอบเครื่องยนต์ขึ้นสูงแล้วรอบความเร็วค่อยตามมา ส่านหนึ่งน่าจะมาจากการคิดคำนวณของกล่อง ECU ที่สั่งการมาถึงเกียร์ CVT ทำให้มีอาการรออยู่บ้างนอกนั้นทำงานได้เป็นอย่างดี ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแบบอิสระแม็คเฟอร์สันสตรัทพร้อมเหล็กกันโคลง ขณะที่ด้านหลังเป็นทอร์ชันบีมพร้อมเหล็กกันโคลง ช่วยให้การขับขี่นุ่มนวล ยึดเกาะถนน และรองรับน้ำหนักบรรทุกได้ดี นอกจากนี้ในช่วงขณะจอดพักทางทีมงานได้เซ็ตอัพที่จอดรถโดยถอยหลังเข้า เพื่อทดสอบระบบ Intelligent Around View Monitor (AVM) กล้องอัจฉริยะมองภาพรอบทิศทางและมองเห็นได้ทุกจุดรอบคัน ตรวจจับและส่งสัญญาณเตือนวัตถุและบุคคลที่เคลื่อนไหวหรือ Moving Object Detection (MOD) ด้วยการออกแบบให้ภาพจากกล้องแสดงผลที่กระจกมองหลัง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยมากขึ้น เพราะผู้ขับขี่สามารถเห็นภาพจากกล้อง และภาพที่สะท้อนบนกระจกมองหลังได้ในเวลาเดียวกัน ซึ่งผลปรากฏว่าต้องปรับพฤติกรรมการใช้มากพอสมควร เพราะต้องเพ่งกระจกมองหลังมากเป็นพิเศษทำให้คำนวณยากไม่น้อย แต่ก็มีข้อดีคือช่วยให้เป็นสิ่งกีดขวางรอบคันทำให้สะดวกต่อการกะระยะในการถอยหลัง ที่สำคัญมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น

เทคโนโลยีอัดแน่น เพิ่มความปลอดภัยทุกรูปแบบ

มาดูด้านสิ่งอำนวยความสะดวกและระบบความปลอดภัยกันบ้าง NISSAN NOTE นับว่าเป็นรถอีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับการพัฒนาระบบความปลอดภัยเต็มรูปแบบเหมือนพี่ใหญ่อย่าง X-Trail ไม่ว่าจะเป็นระบบ Intelligent Forward Collision Warning (FCW) หรือระบบช่วยเตือนก่อนการชนด้านหน้า ซึ่งเตือนสัญญาณเสียง และสัญลักษณ์ที่หน้าปัด ทำให้การขับขี่อุ่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะในเส้นทางที่หนาแน่นทั้งรถยนต์ มอเตอร์ไซค์ และคนเดินเท้า และยังเพิ่มความปลอดภัยกับระบบ Intelligent Emergency Braking ซึ่งจะทำงานร่วมกับระบบช่วยเตือนก่อนการชน  โดยวิเคราะห์ระยะห่าง และความเร็วด้วยกล้องด้านหน้า แล้วช่วยชะลอความเร็วและหยุดรถอัตโนมัติ ระบบเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทาง (Lane Departure Warning – LDW) ซึ่งจะเตือนเมื่อรถออกนอกเส้นทางมาให้เป็นครั้งแรกในรถระดับเดียวกัน โดยระบบนี้จะตรวจจับอาการของรถ หากพบว่าล้อเหยียบเส้นโดยไม่ตั้งใจคือ ผู้ขับไม่เปิดไฟเลี้ยว ระบบก็จะเตือนให้ผู้ขับได้รู้ตัวเพื่อแก้ไขสถานการณ์ได้ทันก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งระบบนี้จะทำงานที่ความเร็วมากกว่า 70 กม./ชม. ขึ้นไป

นอกจากนี้ NISSAN NOTE ยังมาพร้อมอุปกรณ์มาตรฐานที่เพิ่มความปลอดภัยทั้งในเชิงการป้องกันการเกิดอุบัติเหตุ (Active Safety) และ ระบบลดความรุนแรง ความเสียหายจากอุบัติเหตุ (Passive Safety) โครงสร้างตัวถังนิรภัยเป็นแบบ Zone Body Concept มีความแข็งแรง ให้ความยืดหยุ่น และกระจายแรงกระแทก เพื่อปกป้องห้องโดยสารและผู้โดยสารกรณีเกิดอุบัติเหตุ ติดตั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้าเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน เข็มขัดนิรภัยคู่หน้า แบบ 3 จุด แบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ ปรับสูง-ต่ำได้ เพื่อความเหมาะสมกับสรีระของผู้ขับขี่และผู้โดยสาร ส่วนด้านหลังเป็นแบบ 3 จุด ครบทั้ง 3 ตำแหน่ง นอกจากนี้ยังเพิ่มความปลอดภัยสำหรับผู้โดยสารที่เป็นเด็กด้วยจุดยึดเบาะนั่งเด็กแบบ ISOFIX และระบบป้องกันเด็กเปิดประตูจากในรถ เสริมความมั่นใจด้วย ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) และระบบเสริมแรงเบรก (BA) และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ แอลอีดี ระบบช่วยควบคุมเสถียรภาพการทรงตัวอัตโนมัติ (VDC) ระบบช่วยออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) ลดปัญหารถไหลเมื่อออกตัว

สรุป

NISSAN NOTE นับว่าเป็นรถที่ตอบโจทย์การใช้งานในเมืองได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านการใช้งาน ความคุ้มค่า ตลอดจนระบบเทคโนโลยีที่ช่วยสร้างความปลอดภัยบนท้องถนน แถมราคายังพอรับได้โดยรุ่น 1.2 VL มีราคาเริ่มต้นที่ 568,000 บาท และรุ่น 1.2V CVT และ 640,000 บาท เท่านั้น คิดง่ายเหมือนซื้อรถอีโคคาร์รุ่นท็อป ได้ออฟชั่นรถคลาสบีเซกเมนต์รุ่นท็อปในราคาที่ถูกกว่า

 

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *