อีกหนึ่งตำนานอสูรร้ายค่าย Ducati ที่ออกมาวาดลวดลาย สานต่อความเป็นรถเนคเคดไบค์ที่ถอดแบบมาจากรถมอเตอร์ไซค์สายพันธุ์สปอร์ต ที่พกพาความสนุก คล่องตัว และความแรงที่เป็นเอกลักษณ์ ส่งผ่านเจเนอเรชั่นมาตั้งแต่ปี 1993 จนมาถึงปัจจุบันนี้ นั่นก็คือ Monster 797 เวอร์ชั่น 2017 ที่ได้รับการพัฒนาต่อเนื่องมาจาก Ducati Monster 795 และ Ducati Monster 796 โดยยังคงรูปลักษณ์ความโดดเด่นและดุดันไว้อย่างครบถ้วน
โดยเริ่มต้นจากถังน้ำมันเหล็กทรงคลาสสิคที่สร้างชื่อให้กับ Monster อย่างโด่งดังในปี 1992 และ Trellis frame โครงสร้างเฟรมถักที่บ่งบอกตัวตนและเป็นเอกลักษณ์อย่างชัดเจนให้กับ Ducati มานานแสนนาน เครื่องยนต์นั้นเลือกใช้เครื่อง L-Twin cylinder, 2 Desmodromically ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ 803 ซีซี รีดแรงม้ามาทั้งสิ้น 75 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที มาตรฐาน EURO 4 ซึ่งตอบโจทย์เรื่องความคล่องตัวในการควบคุมจากขนาดที่กะทัดรัดและน้ำหนักที่เบา โดยเฉพาะการขับขี่ในเมือง ที่สำคัญยังสะดุดตาสาวๆ อีกด้วย (ไม่เชื่อลองถามผู้หญิงดูสิว่า…รถบิ๊กไบค์ยี่ห้อไหนที่รู้จัก ร้อยทั้งร้องต้องตอบว่า Ducati แน่นอน)
นอกจากการสืบต่อ DNA แบบต้นตำหรับ Ducati Monster 795 เจ้าตัว Ducati Monster 797 ยังได้รับการอัพเกรดให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นไฟหน้าใหม่แบบ LED ที่ยังคงไว้ซึ่งเอกลักษณ์เฉพาะของตระกูล Monster ถังน้ำมันเหล็กดีไซน์ใหม่ขนาดความจุ 16.5 ลิตร ควบคุมบังคับเลี้ยวผ่านแฮนด์บาร์ เบาะนั่งตอนเดียวปาดยกระดับผู้ซ้ายท้าย ปิดท้ายด้วยไฟท้ายใหม่แบบ LED และช่องเสียบชาร์จไฟแบบ USB
สำหรับหน้าปัดเรือนไมล์ของ Ducati Monster 797 มาพร้อมกับหน้าจอ LCD ที่แสดงผลด้วยระบบดิจิตอลเต็มระบบ ไม่ว่าจะเป็นรอบเครื่องยนต์, มาตรวัดความเร็ว, มาตรวัดระยะทาง รวมไปถึงไฟแสดงสถานะค่าต่างๆ และไฟเตือนระบบ ABS ซึ่งเป็นค่ามาตรฐานจากโรงงาน นอกจากนี้ทางด้านระบบความปลอดภัยยังได้ติดตั้งระบบเบรก ABD จาก Bosch พร้อมชุดเบรกหน้า Brembo M4 ลูกสูบ 32 มม. จับคู่จานเบรกเส้นผ่าศูนย์กลาง 320 มม. กับดิสก์เบรกหลังเดี่ยว เส้นผ่าศูนย์กลางของจานอยู่ที่ 245 มม.
ช่วงทดสอบ
นับเป็นรถที่ยังคงเอกลักษณ์สายพันธุ์ปีศาจร้ายไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้มีความครบเครื่องเป็นอย่างมาก โดยเพิ่มเติมจุดเด่นและลบจุดด้อยออกอย่างสิ้นเชิง คือการกลับมาใช้การระบายความร้อนในรูปแบบอากาศเหมือนเดิม พร้อมด้วยเครื่องยนต์ L-Twin 2 วาล์วต่อสูบ ขนาด 803 ซีซี ที่รีดกำลังได้อย่างสนุกในขณะขี่
ช่วงที่ลองคร่อมขึ้นนั่งเพื่อเช็คสรีระก่อนเข้าการทดสอบ Ducati Monster 797 นับว่าเป็นรถมอเตอร์ไซค์ที่ออกแบบมาให้คนเอเชียใช้งานง่ายไม่น้อย เพราะเบาะนั่งไม่สูงมาก แค่ 805 มิลลิเมตร เมื่อขึ้นไปคร่อมแล้วน้ำหนักตัวก็จะกดตัวรถให้เตี้ยลงอีกนิด ทำให้วางเท้าได้เกือบเต็มฝ่าเท้า (ผู้ทดสอบมีความสูง 169 เซนติเมตร) นอกจากการวางเท้าที่กระชับแล้วน้ำหนักรวมตัวรถยังค่อนข้างเบาเมื่อเปรียบเทียบกับรถในระดับเดียวกันคือ 175 กิโลกรัม
ในด้านท่านั่งควบคุม Monster 797 มีการออกแบบให้มีความลงตัวมากขึ้น แฮนด์บาร์ที่มีความกว้างช่วยลดแรงกดในขณะควบคุมได้ดีและยังทำให้แขนไม่ตึงมากจนเกินไป เบาะนั่งที่มีความกว้างช่วยเพิ่มความกระชับได้เป็นอย่างดีและยังได้ออกแบบให้ผู้นั่งหลังไม่ตรงมากเกินไป ส่วนจุดวางเท้าเวลาเปลี่ยนเกียร์หรือใช้งานเบรกเยื้องไปด้านหลังเล็กน้อยมีความลงตัวค่อนข้างสูงใช้งานง่ายเวลางัดเกียร์และกดเบรก
เมื่อลองท่านั่งบังคับควบคุมเป็นที่เรียบร้อยก็ถึงเวลาเคลื่อนที่ออกทดสอบ ในช่วงที่เปิดคันเร่งเพื่อส่งกำลัง คันเร่งและคลัตช์แบบสายยังให้ความรู้สึกแบบดิบๆ ในช่วงออกตัว ซึ่งแตกต่างอย่างชัดเจนกับรุ่นพี่อย่าง Ducati Monster 821 ที่เป็นคันเร่งไฟฟ้าและคลัตช์น้ำมันซึ่งให้ความนุ่มนวลมากกว่า เครื่อง L-Twin cylinder, 2 Desmodromically ระบบระบายความร้อนด้วยอากาศ 803 ซีซี รีดแรงม้ามาทั้งสิ้น 75 แรงม้า ที่ 8,250 รอบ/นาที ช่วยสร้างความสนุกและเร้าใจได้ทันทีเมื่อออกตัว (ในความรู้สึกส่วนตัวดูเหมือน Monster 797 ลดความดุลงไปพอสมควร จากเครื่องยนต์ที่โหดเรียกรอบแรงบิดได้อย่างหนักหน่วง กลับมีความนุ่มนวลขึ้นอย่างผิดหูผิดตา ทำให้ควบคุมได้ง่ายมากยิ่งขึ้น) สามารถเรียกความเร็วได้อย่างต่อเนื่อง ช่วงรอยต่อเกียร์ในการเปลี่ยนเพื่อส่งกำลังทำได้ลื่นไหล ซึ่งเพียงพอต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันอย่างเหลือเฟือ เพียงแค่ไล่รอบธรรมดา 7,000-8,000 รอบ/นาที ทั้ง 6 เกียร์ก็สามารถทำความเร็วได้ไม่ต่ำกว่า 140 กิโลเมตร/ชั่วโมง อย่างง่ายดาย
กลับกันในขณะรถติดหรือถนนที่มีจำนวนรถปริมาณมาก Monster 797 ก็ยังเอาตัวรอดได้ดี ถึงแม้ว่าแฮนด์จะมีความกว้างมากกว่ารถปกติ แต่ก็ยังมีความคล่องตัวสูงลัดเลาะผ่านอุปสรรค์รถติดได้ ถึงแม้จะมีบางช่วงที่ต้องจอดหยุดนิ่งบ้าง ซึ่งไม่สร้างความลำบากใจอะไรมากนักในการเดินทาง
มาดูความระบบช่วงล่างกันบ้าง ด้านหน้าเป็นแบบ โช้คหัวกลับ Up Side Down ขนาดแกน 43 มิลลิเมตร มีความนุ่มนวลสูงช่วยซับแรงสั่นสะเทือนได้ดีในขณะที่ใช้ความเร็ว ซึ่งบางครั้งในการเดินทางเราบนถนนเมืองไทยจะหลีกหนีไม่ได้เลยกับพื้นถนนที่ขรุขระ โช้คขนาดใหญ่ที่ติดตั้งมานั้นให้การยุบและช่วยทรงตัวได้ดีมากยิ่งขั้น ส่วนด้านหลังเป็นแบบเป็นโช้คเดี่ยวตั้งเฉียง 45 องศา ช่วยรับแรงกระแทกระหว่างคนนั่งกับสวิงอาร์ม ทำให้ไม่รู้สึกแข็งกระด้างและไม่อ่อนนุ่มจนเกินไป ซึ่งยังช่วยส่งผลให้คนขี่ควบคุมรถในขณะเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ นอกจากนี้ทางด้านระบบความปลอดภัยยังได้ติดตั้งระบบเบรก ABD จาก Bosch พร้อมชุดเบรกหน้า Brembo M4 ลูกสูบ 32 มม. จับคู่จานเบรกเส้นผ่าศูนย์กลาง 320 มม. กับดิสก์เบรกหลังเดี่ยว เส้นผ่าศูนย์กลางของจานอยู่ที่ 245 มม.
สรุป
ถ้าใครอยากจะเริ่มต้นกับรถมอเตอร์ไซค์ตระกูลยุโรป Ducati Monster 797 เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งสัญชาติ ทั้งความรู้สึก ประสิทธิภาพ และตำนานที่อยู่ในใจใครหลายๆ คน นับว่าตอบโจทย์ได้เป็นอย่างดี ที่สำคัญในเจเนอเรชั่นนี้มีการปรับให้ขี่ใช้งานมากขึ้นอีกด้วย ส่วนใครที่กลัวค่าบริการว่าจะสูงมากไหมเรามีข้อมูลมาให้เปรียบเทียบด้วยนะ
รายละเอียดและเงื่อนไขพิเศษสำหรับ โปรแกรม Smart Service Package 1. การนำรถ Ducati เข้าเช็คตามระยะตามโปรแกรม ดังนี้
- สำหรับเครื่องยนต์ Desmodue กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 12,000 กม., 24,000 กม. และ 36,000 กม.
- สำหรับเครื่องยนต์ Desmodue Scrambler Sixty2 กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 10,000 กม., 20,000 กม. และ 30,000 กม.
- สำหรับเครื่องยนต์ Testastretta 11° Multistrada รุ่นปี 2010-2014 และ Diavel รุ่นปี 2011-2014 กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 12,000 กม. และ 24,000 กม.
- สำหรับเครื่องยนต์ Testastretta 11° กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 15,000 กม. และ 30,000 กม.
- สำหรับเครื่องยนต์ Superquadro กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 12,000 กม., 24,000 กม. และ 36,000 กม.
- สำหรับเครื่องยนต์ Testastretta DVT กำหนดนำรถเข้าเช็คระยะที่ 1,000 กม., 15,000 กม. และ 30,000 กม.