ด้วยชื่อ DBS Superleggera ซึ่งเป็นการทำเอาชื่อรุ่นที่เคยสร้างชื่อเสียงให้แก่ Aston Martin ในอดีตกลับมาอีกครั้ง พร้อมกับใช้เทคนิคการผลิตตัวถังรถที่มีน้ำหนักเบาของผู้ผลิตรถจากอิตาลี จึงส่งผลให้เกิดรถยนต์ที่มีสมรรถนะสูงมากกว่า 700 แรงม้าที่ถูกเรียกว่าซูเปอร์จีที
ในการสร้างรถยนต์ที่มีคำว่า Superleggera ซึ่งมีความหมายว่า Super Light ต่อท้าย Aston Martin DBS Superleggera จึงถูกเริ่มต้นขึ้นบนแชสซีส์และโครงสร้างของรถที่เป็นอลูมิเนียมน้ำหนักเบา พร้อมกับใช้คาร์บอนไฟเบอร์ในส่วนต่างๆ ของรถ จนทำให้เบากว่า DB11 ถึง 72 กก. ด้วยน้ำหนักของตัวรถ 1,693 กก.
นอกจากการออกแบบให้ตัวรถมีน้ำหนักเบาแล้ว DBS Superleggera ยังได้รับการออกแบบภายนอกเพื่อบ่งบอกถึงสมรรถนะที่สูงอย่างชัดเจนด้วยกระจังหน้าขนาดใหญ่ลายรังผึ้งสีดำ ฝากระโปรงมีความโค้งนูนพร้อมช่องรับอากาศเพื่อความรู้สึกถึงความเร็วและพลัง รวมไปถึงด้านข้างตัวรถทั้งส่วนล้อหน้าและหลังที่ใหญ่เพื่อให้ความรู้สึกเหมือนกล้ามเนื้อที่บึกบึนอย่างชัดเจน
นอกจากนี้รายละเอียดต่างๆ บนตัวรถไม่เพียงเพื่อสร้างความรู้สึกสปอร์ตดุดันเท่านั้น แต่ยังเสริมในเรื่องสมรรถนะของรถด้วย ซึ่งเป็นการรวมเทคโนโลยีด้านแอโรไดนามิคของ Aston Martin มาไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น Splitter ด้านหน้าที่ช่วยเร่งการไหลของอากาศใต้รถได้ดีขึ้นสำหรับสร้างแรงกดและเพิ่มความเย็นให้กับเบรกหน้า ด้านข้างรถในส่วนประตูที่ลึกกว่าช่วยในการรับอากาศจากล้อหน้ามากขึ้นสำหรับการลดการยกตัวของรถและทำให้รถมีความนิ่งขึ้นที่ความเร็วสูง
ขณะที่ด้านหลังรถมี Double Diffuser พร้อมกับ Aeroblade II ช่วยในการจัดการอากาศ ซึ่งทั้งหมดนี้สามารถทำให้เกิดแรงกดที่ตัวรถได้สูงถึง 180 กก. ที่ความเร็วสูง
หัวใจความแรงที่ทำให้เป็นรถในระดับซูเปอร์จีทีของ DBS รุ่นล่าสุดคือ เครื่องยนต์ V12 5,200 ซีซี เทอร์โบคู่ ซึ่งมีกำลังสูงสุด 725 แรงม้าที่ 6,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตรตั้งแต่ 1,800-5,000 รอบ/นาที และสามารถใช้เวลา 3.4 วินาทีเพื่อทำความเร็วตั้งแต่ 0-100 กม./ชม. ขณะที่ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 337 กม./ชม. โดยใช้เกียร์อัตโนมัติ ZF 8 สปีดส่งกำลังสู่ล้อหลัง
ในการหยุดกำลัง 725 แรงม้า DBS Superleggera ใช้เบรกคาร์บอนเซรามิกทั้งด้านหน้าและหลัง โดยเบรกหน้ามีเส้นผ่าศูนย์กลางขนาด 410 มม. ส่วนเบรกหลังขนาด 360 มม.
ขณะที่ช่วงล่างในการรองรับการขับเคลื่อนด้านหน้าเป็นแบบ Double Wishbone อิสระ ส่วนด้านหลังเป็นแบบ Multi-Link พร้อมมี Anti-roll bar และ Adaptive Damping ทั้งด้านหน้าและหลัง
ภายในห้องโดยสารของ DBS Superleggera มีเส้นสายที่ไหลลื่นผสานกับหนังชั้นดี โดยเบาะเป็นแบบ Sport Plus เพื่อให้ทั้งความกระชับมั่นคงในการนั่งและความสบายเมื่อขับทางไกลพร้อมด้วยด้วยพวงมาลัย Sport Plus เข้าคู่กัน คอนโซลกลางของรถแสดงปุ่มปรับควบคุมต่างๆ อย่างชัดเจน รวมไปถึงปุ่ม PRND ขนาดใหญ่ที่ด้านบน
ให้ความรื่นรมย์ขณะเดินทางด้วยระบบเสียงของ Aston Martin โดยมีจอขนาด 8 นิ้วสำหรับการควบคุมความบันเทิงและแสดงข้อมูลต่างๆ
หากอยากได้ Aston Martin DBS Superleggera จะต้องมีเงินอย่างน้อย 225,000 ปอนด์ซึ่งเป็นราคาเริ่มต้นในอังกฤษ โดยจะเริ่มส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3 เป็นต้นไป